เมืองเก่าเล็กๆ ริมแม่น้ำ ที่เต็มไปด้วยตึกสีสันสดใส ผสมผสานวัฒนธรรมจีน มาเลย์ อินเดีย และยุโรปได้อย่างกลมกลืน เป็นอีกเมืองหนึ่งที่เหมาะกับการมาพักผ่อนหย่อนใจ ชมโบสถ์คริสต์แดงไหน ดูพระอาทิตย์ตกที่สุเหลา ตลาดนัดกลางคืนสุดสัปดาห์ที่ถนนยองเกอร์ ล่องเรือชมเมืองสุดโรแมนติก และนั่งชิลริมน้ำก่อนเข้านอน
เดินทางไปมะละกา มาเลเซีย
นั่งรถบัสจากกัวลาลัมเปอร์ราคาเพียง 10 ริงกิตเท่านั้นเป็นเงินไทยประมาณ 70 บาท การซื้อตั๋วก็ง่ายมากสามารถซื้อจากเครื่องอัตโนมัติ เคาท์เตอร์ หรือจองออนไลน์แล้วมารับตั๋วที่เคาท์เตอร์ก็ได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงไปถึงท่ารถที่มะละกา ที่นี่ค่อนข้างเก่าแต่ก็มีร้านอาหารเยอะพอควร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านโทรศัพท์ ตรงที่จอดรถแท็กซี่จะมีป้ายห้ามทุกคนเรียกแกรปเข้ามารับ เราก็เลยข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อเรียกแกรปมารับ ไปถึงโรงแรมประมาณ 15 – 20 นาที
ที่พักในมะละกา
ใครอยากอยู่ใกล้แหล่งชุมชนและร้านอาหาร ให้ลองมองหาโฮสเทลหรือเกสต์เฮาส์แถว Jonker Street ราคาประหยัดเริ่มต้นที่ 30–60 ริงกิตต่อคืน (200–400 บาท) หากชอบสไตล์บูติกโฮเทล แนะนำ Casa del Rio ริมแม่น้ำ ราคา 150–250 ริงกิต (1,100–1,800 บาท) หรือถ้ามองหาความหรูหราขึ้นอีกนิด The Majestic Malacca สไตล์โคโลเนียล ตกคืนละราว 600 ริงกิต (4,500 บาท) แต่บรรยากาศย้อนไปในอดีตคุ้มค่าทุกบาท
มะละกา มาเลเซีย
มะละกาเดิมชื่อ “เมละกะ” ก่อตั้งโดยปรเมศวร เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19 ในฐานะท่าเรือค้าขายเครื่องเทศที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1511 ต่อมาเป็นของฮอลันดาในปี ค.ศ. 1641 และกลายเป็นเมืองขึ้นอังกฤษในปี ค.ศ. 1824 วัฒนธรรมหลากหลายกลายเป็นหัวใจสำคัญของมะละกา ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2551
จัตุรัสแดง (Dutch Square)
จัตุรัสแดงหรือที่บางคนเรียกว่า “Red Square” คือหัวใจของเมืองมะละกา จะเห็น Christ Church โบสถ์โคโลเนียลสีแดงเข้มอายุกว่า 270 ปี และอาคารศาลากลางยุคดัตช์หรือ Stadthuys ที่ถูกทาสีแดงอย่างโดดเด่น บริเวณกว้างขวางรอบๆ มีหอนาฬิกา Tan Beng Swee Clock Tower ให้ถ่ายรูปมุมแปลกๆ ได้หลายมุม ที่สำคัญคือ ไม่เก็บค่าเข้าชม เหมาะกับการถ่ายสตอรี่ ถ่ายรูปลงไอจี หรือพกมินิพร็อพมาโพสต์ท่า ถ้าอยากได้แสงดี แนะนำให้มาเช้าซัก 8:00–10:00 น. แดดกำลังอ่อน และคนยังไม่เยอะ พักเหนื่อยจากการเดินก็สามารถมานั่งพักที่ร้านขายน้ำ มีทั้งน้ำผลไม้และไอติมกะทิให้หายเหนื่อย
มัสยิดช่องแคบมะละกา (Masjid Selat Melaka)
มัสยิดช่องแคบมะละกา หรือ Malacca Straits Mosque ตั้งอยู่บนดินถมริมทะเล จึงดูเหมือนลอยได้เวลาน้ำขึ้น สร้างเสร็จปี 2006 ด้วยสถาปัตยกรรมผสมระหว่างมัวร์และมาเลย์ โดดเด่นด้วยโดมสีทองและเสาหินอ่อนสีขาวน้ำเงิน ด้านในเงียบสงบ เหมาะกับการเข้าไปนั่งพักร่มเย็น ชมวิวคลื่นทะเลไหวเลียบขอบระเบียง ช่วงพระอาทิตย์ตกจะมีไฟเปลี่ยนสีสวยงาม เวลาทำการ: 09:00–18:00 น. (ปิดช่วงละหมาด) เราไปไม่ทันก็เลยหาทางเข้าไปนั่งริมทะเลที่มองเห็นมัสยิดอยู่ไม่ไกล
ถนนยองเกอร์ (Jonker Street)
ถนนยองเกอร์เหมือนกับไชน่าทาวน์ของมะละกา ทั้งร้านขายของเก่า แอนทีค วัดจีนเล็กๆ และสตรีทฟู้ด เวลาทำการ (ร้านทั่วไป): 10:00–21:00 น. ไฮไลต์คือ Jonker Walk Night Market เปิดแค่ ศุกร์–อาทิตย์ 18:00–24:00 น. (บางร้านขายถึงตี 1) ช่วงทางเข้าคือเดินแน่นมากแต่พอเดินลึกเข้าไปก็พอมีช่องว่างให้หายใจ มีของกินจุกจิก ร้านเบเกอรี่ขายพัฟไก่ อร่อยและราคาถูกมาก ประมาณยี่สิบบาทแถมชิ้นใหญ่ด้วย และมีชิ้นใหญ่แบบจุกๆ คุ้มราคาไปเลย เดินไปเกือบสุดทางก็จะเจอร้านอาหารทั้งราคาถูกไปจนถึงราคาสูง โดยรวมแล้วรู้สึกเหมือนใช้เวลาเดินเกือบสามชั่วโมง เดินจนปวดน่องไปเลย ไม่ไกลจากตลาดก็จะมีคิวสามล้อแต่งชุดใหญ่ไฟกระพริบของจริงพร้อมเปิดเพลงโจ๊ะๆระหว่างพานักท่องเที่ยวชมเมือง แอบได้ยินเขาเปิดเพลงไทยยุคเก้าสิบด้วย
ล่องเรือชมแม่น้ำมะละกา Malaka River Cruise
พักจากการเดินชมเมืองมาล่องเรือท่าหน้า Hang Jebat Bridge แล้วล่องย้อนแม่น้ำไปผ่านย่าน Chinatown สะพานเก่า จะเห็นศิลปะฝาผนัง และหมู่บ้านชาวประมง Kampung Morten เรือทุกลำติดไฟประดับแสงสีสวยงาม สามารถจองล่วงหน้า ซื้อที่เคาน์เตอร์ หรือไปซื้อที่ท่าขึ้นเรือก็ได้ ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 30 ริงกิต เด็ก (4–12 ปี) 15 ริงกิต รอบละประมาณ 45 นาที เปิดให้บริการ 09:00–23:00 น. (ออกทุก 20–30 นาที) ในตอนเช้าที่เรากำลังเดินทางกลับผ่านแม่น้ำก็จะเห็นเรือของเจ้าหน้าที่มาเก็บใบไม้หรือขยะในแม่น้ำ ถือว่าที่นี่มีระบบทำความสะอาดที่ดีเลย
นั่งชิลริมน้ำ
ล่องเรือเสร็จแล้วก็อาจจะหิวและไม่อยากเดินเข้าไปที่ตลาดก็สามารถไปนั่งดื่มนั่งดริ๊งแบบชิลๆริมแม่น้ำก่อนกลับโรงแรม มีหลายร้านให้เลือกมา แนะนำให้เช็คเมนูและราคาก่อนตัดสินใจ
สรุป
มะละกาเป็นเมืองเล็กที่มีเสน่ห์แบบไม่น่าเชื่อ ถึงจะไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีกิจกรรมสนุกๆ ให้เลือกตั้งแต่กิน เที่ยว ช้อป และถ่ายรูปชิคๆ แถมยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้ทำนอกเหนือจากที่เขียนมานี้อีกด้วย